อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและกฎระเบียบใหม่ ๆ ที่เข้มงวดขึ้น แนวโน้มของวัสดุบรรจุภัณฑ์ในอนาคตจะต้องมีอย่างน้อยหนึ่งในสามคุณสมบัติต่อไปนี้ ได้แก่ ทำจากวัสดุหมุนเวียน สามารถรีไซเคิลได้ และ มีความคุ้มค่าโดยไม่ใช้วัสดุเกินความจำเป็น มาดูกันว่า 3 เทรนด์สำคัญที่กำลังมาแรงและเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมนี้คืออะไร
เทรนด์วัสดุกล่องบรรจุภัณฑ์ปีนี้ มีอะไรบ้าง

1.การออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่เน้นความเรียบง่าย (Tailored Minimalism)
แนวคิด “Less is more” หรือการใช้บรรจุภัณฑ์เท่าที่จำเป็นกำลังได้รับความนิยมมากขึ้น โดยเฉพาะในยุโรปที่มีการรณรงค์ให้ลูกค้าส่งคืนบรรจุภัณฑ์ที่ไม่จำเป็น และหลีกเลี่ยงสินค้าที่ใช้บรรจุภัณฑ์มากเกินไป
แนวทางใหม่ของบรรจุภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค
- ลดการใช้วัตถุดิบที่ไม่จำเป็น แต่ยังคงปกป้องสินค้าได้ดี
- ใช้วัสดุที่สามารถรีไซเคิลได้ง่าย เช่น กระดาษที่สามารถย่อยสลายได้
- ลดการใช้บรรจุภัณฑ์หลายชั้นเพื่อลดขยะและต้นทุนการผลิต
ตัวอย่างในอุตสาหกรรมอาหาร เช่น ขนมปังแช่แข็งที่ต้องการบรรจุภัณฑ์กันความชื้นและไขมัน เดิมทีใช้ถุงพลาสติกเสริมในกล่องกระดาษ แต่ปัจจุบันสามารถเปลี่ยนมาใช้ Barrier Paper ที่เป็นกระดาษเคลือบป้องกันความชื้นได้ แทนการใช้พลาสติก ลดการใช้ทรัพยากรและยังคงรักษาคุณภาพสินค้า
2.การกลับมาของบรรจุภัณฑ์ที่นำกลับมาใช้ซ้ำได้ (Reusable Packaging)
แม้ว่าการรีไซเคิลจะเป็นแนวโน้มหลักของอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ในปัจจุบัน แต่แนวคิด บรรจุภัณฑ์ที่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำ กำลังได้รับความนิยมมากขึ้น โดยเฉพาะในสหภาพยุโรป (EU) ซึ่งกำหนดให้บรรจุภัณฑ์ทั้งหมดต้องสามารถรีไซเคิลได้ และบางประเภทต้องสามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้ภายในปี 2030
การใช้บรรจุภัณฑ์ซ้ำไม่ใช่เรื่องใหม่
- ย้อนกลับไปในอดีต นมเคยถูกส่งในขวดแก้วที่นำกลับมาใช้ซ้ำ
- ในอุตสาหกรรม B2B บรรจุภัณฑ์แบบใช้ซ้ำได้รับความนิยมมานานแล้ว เช่น กล่องพลาสติกสำหรับขนส่งสินค้า
ความท้าทายของบรรจุภัณฑ์ใช้ซ้ำ คือการสร้างมาตรฐานใหม่ให้ผลิตภัณฑ์ในหมวดหมู่เดียวกันสามารถใช้บรรจุภัณฑ์แบบเดียวกันได้ เมื่อผู้บริโภคใช้เสร็จ บรรจุภัณฑ์จะถูกนำไปล้างฉลากเดิมออก แล้วติดฉลากใหม่เพื่อใช้ซ้ำ ตัวอย่างเช่น UPM Raflatac ได้พัฒนา ฉลากที่ล้างออกได้ (Wash-off Labels) ที่สามารถนำไปใช้กับขวดหรือบรรจุภัณฑ์ซ้ำได้
3.การใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแทนพลาสติกจากปิโตรเลียม
ด้วยเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมและกฎระเบียบที่เข้มงวดขึ้น บริษัทต่าง ๆ กำลังมองหาวัสดุบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยเปลี่ยนจากการใช้พลาสติกที่มาจากปิโตรเลียมไปสู่วัสดุที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น
- พลาสติกชีวภาพ (Bioplastics): พลาสติกชีวภาพผลิตจากวัสดุธรรมชาติ เช่น แป้งข้าวโพด, มันสำปะหลัง, หรืออ้อย ซึ่งเป็นวัตถุดิบหมุนเวียน สามารถย่อยสลายได้ทางชีวภาพ ไม่ทิ้งสารพิษ และบางชนิดสามารถนำไปหมักได้ และเหมาะในการใช้งานเป็นบรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องสำอาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรูปแบบของถุงหรือภาชนะ
- กระดาษคราฟท์ (Kraft Paper): ผลิตจากเส้นใยธรรมชาติ เช่น ไม้ซีดาร์หรือไม้สน ซึ่งมีความแข็งแรงและทนทาน สามารถย่อยสลายได้ง่าย มีความเหนียวสูง และสามารถรีไซเคิลได้ดี ในการใช้งาน นิยมใช้ในกล่องกระดาษสำหรับอาหาร, ของขวัญ, หรือสินค้าออนไลน์ทั่วไป
- เส้นใยธรรมชาติ (Natural Fibers): วัสดุจากเส้นใยพืช เช่น ฟางข้าวสาลี, ใบไม้, หรือเปลือกผลไม้ที่สามารถนำมาใช้เป็นบรรจุภัณฑ์ได้ ย่อยสลายได้ง่าย ไม่เป็นพิษ และมีค่าใช้จ่ายในการผลิตที่เหมาะสมกับการลงทุนระยะยาว นิยมใช้ในบรรจุภัณฑ์ทั้งทั่วไปและเฉพาะเจาะจง เช่น กล่องห่อของขวัญหรือถุงสำหรับขายปลีก
ข้อดีของวัสดุเหล่านี้
- ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก: การใช้วัสดุจากธรรมชาติช่วยลดการใช้พลังงานและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเมื่อเทียบกับการผลิตพลาสติกจากปิโตรเลียม
- ย่อยสลายได้และรีไซเคิลได้: วัสดุเหล่านี้สามารถย่อยสลายได้ทางชีวภาพและบางชนิดสามารถรีไซเคิลได้ ช่วยลดปริมาณขยะและมลพิษ
- ไม่ต้องปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตมากนัก: วัสดุบางประเภท เช่น กระดาษคราฟท์ สามารถนำมาใช้ในกระบวนการผลิตบรรจุภัณฑ์เดิมได้โดยไม่ต้องปรับเปลี่ยนเครื่องจักรหรือกระบวนการมากนัก
ตัวอย่างในอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง: ปัจจุบันมีการใช้บรรจุภัณฑ์จากกระดาษคราฟท์หรือเส้นใยธรรมชาติในการผลิตกล่องหรือหีบห่อสำหรับผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ซึ่งไม่เพียงแต่ลดการใช้พลาสติก แต่ยังเพิ่มภาพลักษณ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้กับแบรนด์
การเปลี่ยนมาใช้วัสดุบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืนเหล่านี้ไม่เพียงตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม แต่ยังช่วยลดผลกระทบต่อโลกและสนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืนในระยะยาว
สรุป
อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์กำลังเปลี่ยนแปลงไปสู่ความยั่งยืน เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าและกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อม โดยมี 3 เทรนด์สำคัญที่ได้รับความนิยม ได้แก่ 1) การออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่เน้นความเรียบง่าย (Tailored Minimalism) ลดการใช้วัสดุเกินจำเป็นแต่ยังคงปกป้องสินค้าได้ดี 2) บรรจุภัณฑ์ที่นำกลับมาใช้ซ้ำ (Reusable Packaging) เพื่อลดขยะและสนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียน 3) การใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแทนพลาสติกจากปิโตรเลียม เช่น พลาสติกชีวภาพ กระดาษคราฟท์ และเส้นใยธรรมชาติ ที่สามารถย่อยสลายและรีไซเคิลได้ เทรนด์เหล่านี้ช่วยให้ธุรกิจสามารถตอบโจทย์ลูกค้าสมัยใหม่และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว