กล่องกระดาษและกล่องพลาสติก เพื่อเป็นตัวเลือกบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสม

กล่องกระดาษใส่อาหาร vs กล่องพลาสติก อันไหนดีกว่ากัน?

ในยุคที่อาหารเดลิเวอรี่และ Food to Go กำลังเป็นที่นิยม บรรจุภัณฑ์อาหารจึงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อคุณภาพ ความปลอดภัย และความพึงพอใจของผู้บริโภค หนึ่งในตัวเลือกหลักที่ผู้ประกอบการและผู้บริโภคต้องเผชิญอยู่เสมอคือ “กล่องกระดาษ” และ “กล่องพลาสติก” คำถามที่พบบ่อยคือ กล่องแบบไหนดีกว่ากัน? และมีเหตุผลอะไรบ้างที่เราต้องพิจารณาในการเลือกบรรจุภัณฑ์อาหารที่เหมาะสม? บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกข้อดีข้อเสียของกล่องทั้งสองประเภท รวมถึงปัจจัยสำคัญอื่น ๆ ที่จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด

กล่องกระดาษใส่อาหาร

กล่องกระดาษใส่อาหารรักษ์โลก บรรจุอาหารหลากหลาย เหมาะสำหรับธุรกิจเดลิเวอรี่และร้านอาหาร

ข้อดี

  1. ความปลอดภัย: กล่องกระดาษส่วนใหญ่ผลิตจากวัสดุธรรมชาติ จึงปราศจากสารตกค้างที่เป็นอันตรายต่ออาหารและผู้บริโภค สามารถสัมผัสอาหารได้โดยตรง อีกทั้งมุมกล่องมักถูกออกแบบให้โค้งมนเพื่อลดความเสี่ยงต่อการบาด
  2. เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม: กล่องกระดาษสามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ ช่วยลดปัญหาขยะพลาสติกและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
  3. ดีไซน์: กล่องกระดาษมีความหลากหลายในด้านดีไซน์ สามารถปรับแต่งให้เข้ากับแบรนด์และประเภทอาหารได้อย่างไม่จำกัด
  4. ความสะดวก: กล่องกระดาษบางประเภทสามารถนำเข้าไมโครเวฟได้ (ขึ้นอยู่กับประเภทและคุณภาพ)

ข้อเสีย

  1. ราคาสูง: กล่องกระดาษบางประเภทอาจมีราคาสูงกว่ากล่องพลาสติก โดยเฉพาะกล่องที่มีคุณภาพสูงและดีไซน์พิเศษ
  2. ข้อจำกัดในการใช้งาน: กล่องกระดาษอาจไม่เหมาะกับอาหารบางประเภท เช่น อาหารที่มีน้ำมาก ๆ หรืออาหารที่ต้องการเก็บความร้อนนาน ๆ

ประเภทที่นิยม

  • กล่องไฮบริด (ฝาใส): กล่องประเภทนี้เป็นบรรจุภัณฑ์รักษ์โลกที่นิยมใช้ใส่อาหาร ตัวกล่องด้านล่างทำจากเยื่อใยกระดาษสีธรรมชาติที่ย่อยสลายได้ ส่วนฝาทำจากพลาสติก PET ใส ทำให้มองเห็นอาหารด้านในได้ กล่องไฮบริดมักเคลือบด้วย PE เพื่อให้ทนทานต่อน้ำและน้ำมัน มีทั้งสีน้ำตาล (ผลิตจากกระดาษคราฟท์) และสีขาว
  • กล่องอาหารเดลิเวอรี่: กล่องประเภทนี้มีมาตรฐานฟู้ดเกรด มีฝาปิดมิดชิดป้องกันอาหารหก สามารถเข้าไมโครเวฟได้ และวางซ้อนกันได้หลายชั้น กล่องมีความแข็งแรงทนทานเหมาะสำหรับการขนส่ง
  • กล่องเบนโตะ หรือกล่องอาหารหลายช่อง: กล่องประเภทนี้ออกแบบมาเพื่อแยกอาหารแต่ละชนิดออกจากกัน เพื่อคงรสชาติและลักษณะของอาหาร มีหลายขนาด ตั้งแต่ 1 ช่อง ถึง 5 ช่อง เหมาะสำหรับอาหารที่ต้องการเครื่องปรุงหรือน้ำจิ้มหลายชนิด
  • กล่องไก่ทอด: กล่องไก่ทอดถูกออกแบบมาเป็นพิเศษ โดยมีช่องเจาะระบายความร้อน เพื่อช่วยรักษาความกรอบของไก่ทอด ไม่ให้ไอน้ำทำให้ไก่ทอดนิ่มหรือเสียรสชาติ
  • ถาดกระดาษ: ถาดกระดาษมีหลายขนาดและรูปทรง มักใช้สำหรับใส่เฟรนช์ฟรายส์ ใส่ขนมต่างๆ เช่น เค้ก คุกกี้ พาย หรือขนมปัง ออกแบบมาเพื่อให้ขนมดูน่าสนใจและง่ายต่อการหยิบรับประทาน
  • กล่องกระดาษชนิดเคลือบหลายชั้น: เคลือบพลาสติกหรืออลูมิเนียมหลายชั้นเพื่อป้องกันการรั่วซึม เหมาะสำหรับบรรจุเครื่องดื่มหรือของเหลว เช่น น้ำส้มและนม

ข้อควรรู้

  • มาตรฐานของกระดาษ: ควรเลือกกล่องที่ผลิตจากกระดาษ Food Grade ซึ่งปลอดภัยต่อการสัมผัสอาหาร
  • การเคลือบ: กล่องบางประเภทอาจมีการเคลือบสารกันน้ำ/กันน้ำมัน เพื่อเพิ่มความทนทาน
  • หมึกพิมพ์: ควรเลือกกล่องที่ใช้หมึกพิมพ์ Food Grade และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

กล่องพลาสติกใส่อาหาร

กล่องพลาสติกใส่อาหารพร้อมโลโก้ Fastboxs ปิดสนิท ป้องกันการรั่วซึม เหมาะสำหรับอาหารเดลิเวอรี่

ข้อดี

  1. ราคาถูก: กล่องพลาสติกส่วนใหญ่มีราคาถูกกว่ากล่องกระดาษ
  2. ความทนทาน: กล่องพลาสติกมีความทนทาน สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ (Reusable)
  3. ป้องกันการรั่วซึม: กล่องพลาสติกสามารถป้องกันการรั่วซึมได้ดี เหมาะกับอาหารที่มีน้ำ

ข้อเสีย

  1. ความปลอดภัย: กล่องพลาสติกบางประเภทอาจมีสาร BPA และพาทาเลต ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ อีกทั้งไม่สามารถสัมผัสอาหารได้โดยตรง (ต้องใช้พลาสติกรองก้น) มุมกล่องที่แหลมคมอาจทำให้เกิดการบาดได้
  2. ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม: กล่องพลาสติกใช้เวลาย่อยสลายนาน มีต้นทุนการรีไซเคิลสูง และอาจปล่อยมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม
  3. ดีไซน์: กล่องพลาสติกมีตัวเลือกน้อย และมีข้อจำกัดในการใช้งาน

ประเภทที่พบเห็นได้บ่อย

  • กล่องพลาสติก PP (Polypropylene): เป็นพลาสติกที่นิยมใช้ในการผลิตกล่องอาหาร เพราะทนความร้อนและความเย็นได้ดี สามารถทนความร้อนได้สูงสุดถึง 121 องศาเซลเซียส และนำเข้าไมโครเวฟได้อย่างปลอดภัย นอกจากนี้ยังป้องกันความชื้นได้ดี พลาสติก PP มีน้ำหนักเบาที่สุด สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ (Recycle) ได้ และเหมาะสำหรับเก็บอาหารทั้งร้อนและเย็น
  • กล่องพลาสติก PET (Polyethylene Terephthalate): เป็นพลาสติกที่นิยมใช้กับกล่องอาหารอันดับต้น ๆ เพราะมีความแข็งแรง ทนทาน แต่น้ำหนักเบา สามารถขึ้นรูปเป็นทรงสวยงามได้หลากหลาย มีความเหนียวสูง แวววาว แข็งแรง ไม่เปราะแตกง่าย และทนทานต่อกรด พลาสติก PET โปร่งใส ทำให้เห็นอาหารภายในได้อย่างชัดเจน แตไม่ทนต่อความร้อนสูง จึงไม่ควรนำเข้าไมโครเวฟ นิยมใช้ในการเก็บอาหารเย็น เช่น สลัด ผลไม้ หรือของหวานที่ต้องการเก็บในตู้เย็น เป็นพลาสติกชนิดเดียวที่สามารถรีไซเคิลได้ 100%
  • กล่องพลาสติก PS (Polystyrene): เป็นสารตั้งต้นของการผลิตกล่องโฟม และถือเป็นพลาสติกที่มีความเปราะมากที่สุด จึงนิยมใช้งานในรูปแบบใช้แล้วทิ้ง มีราคาถูก น้ำหนักเบา และขึ้นรูปง่าย เหมาะสำหรับบรรจุขนม ของว่าง และอาหารที่ไม่ร้อน พลาสติกชนิดนี้ย่อยสลายและรีไซเคิลได้ยาก

ข้อควรรู้

  • สัญลักษณ์บนกล่องพลาสติก: ตัวเลข 1-7 ในสามเหลี่ยม บ่งบอกประเภทของพลาสติกและความเหมาะสมในการใช้งาน
  • ข้อควรระวัง: ไม่ควรใช้กล่องพลาสติกกับอาหารร้อนหรืออาหารที่มีไขมันสูง
  • การดูแลรักษา: ควรทำความสะอาดและดูแลรักษากล่องพลาสติกอย่างถูกวิธี เพื่อยืดอายุการใช้งาน

อันตรายในอาหารที่ต้องระวัง

  • อันตรายทางเคมี: สารพิษ สารตกค้างจากบรรจุภัณฑ์
  • อันตรายทางชีวภาพ: จุลินทรีย์ สารพิษจากจุลินทรีย์
  • อันตรายทางกายภาพ: สิ่งแปลกปลอม (เศษเหล็ก ก้างปลา)

เน้นย้ำ: อันตรายจากพลาสติก (การปนเปื้อน สารเคมี) เป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ

แล้วเลือกกล่องใส่อาหารแบบไหนดี กล่องกระดาษ vs กล่องพลาสติก

จากข้อมูลที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่ากล่องกระดาษมีข้อดีหลายประการที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในเรื่องของความปลอดภัยต่อสุขภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ผู้บริโภคในยุคปัจจุบันให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้ กล่องกระดาษยังมีดีไซน์ที่หลากหลาย สามารถปรับแต่งให้เข้ากับแบรนด์และประเภทอาหารได้ง่าย ช่วยสร้างความประทับใจและเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าได้อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม กล่องพลาสติกก็ยังมีข้อดีในเรื่องของราคาที่ถูกกว่าและความทนทานในการใช้งาน ซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่ผู้ประกอบการบางรายให้ความสำคัญมากกว่า

เทรนด์ปัจจุบันและเหตุผลที่ควรเลือกกล่องกระดาษ

  • ความใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม: ผู้บริโภคในปัจจุบันมีความตระหนักและใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น การเลือกใช้กล่องกระดาษซึ่งสามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ จึงเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับธุรกิจ
  • ความปลอดภัยต่อสุขภาพ: ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของอาหารมากขึ้น การเลือกใช้กล่องกระดาษที่ปราศจากสารเคมีอันตราย จึงเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าและตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้ดีกว่า
  • ภาพลักษณ์ของแบรนด์: กล่องกระดาษสามารถออกแบบให้มีความสวยงามและโดดเด่นได้ง่าย ช่วยสร้างความประทับใจและเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ในระยะยาว
  • กฎหมายและข้อบังคับ: ในหลายประเทศเริ่มมีกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่ผู้ประกอบการต้องพิจารณาในการเลือกบรรจุภัณฑ์

สรุป

การเลือกกล่องใส่อาหารที่เหมาะสม ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น ประเภทอาหาร งบประมาณ และความต้องการของธุรกิจ อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาถึงเทรนด์ในปัจจุบันที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย รวมถึงข้อดีต่างๆ ของกล่องกระดาษที่กล่าวมาข้างต้น การเลือกใช้กล่องกระดาษจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจและคุ้มค่ากว่าในระยะยาว