
เทคนิคการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กล่องบรรจุภัณฑ์
บรรจุภัณฑ์ ก็คล้ายกับการทำธุรกิจที่ก็เหมือนกับอยู่ในสนามรบ แผนยุทธศาสตร์ก็เหมือนกับกลยุทธ์ทางการตลาด ถ้าวางแผนมาได้ดีก็เป็นผู้ชนะ
การทำการค้านั้นเราต้องรู้จักคู่แข่งให้ดีและต้องมีมิตรที่ดีด้วย เมื่อเรามีสินค้าที่ดีและมีฐานผู้บริโภคแล้วละก็ จะทำอย่างไรให้ผู้ซื้อยังจะซื้อสินค้าของเราต่อ โดยไม่แปรพักตร์เปลี่ยนใจไปจากสินค้าของเราเสียก่อน
สิ่งที่เราและคู่แข่งสามารถพัฒนาได้ตลอดเวลานั่นก็คือ คุณภาพของผลิตภัณฑ์ และการบริการ แต่สิ่งเล็กๆ น้อยๆ อย่าง บรรจุภัณฑ์สวย ต้องเริ่มต้นที่กระดาษคุณภาพดี กลับกลายเป็นสิ่งที่ถูกมองข้าม
ในบทความนี้ Fastboxs จะนำเสนอ เทคนิคการเลือกกระดาษสำหรับทำกล่องบรรจุภัณฑ์ที่มีคุณภาพ เพื่อสร้างภาพลักษณ์และผลตอบรับที่ดีต่อแบรนด์ของคุณ ซึ่งข้อควรรู้ในการเลือกกระดาษ โดยส่วนใหญ่จะนิยมเลือกจาก ชนิดของกระดาษ, ความหนาของกระดาษ, ขนาดของกระดาษ เป็นต้น
ชนิดของกระดาษ
กระดาษที่ใช้ในงานพิมพ์มีอยู่มากมายหลายชนิด แต่ที่นิยมใช้ในโรงพิมพ์ส่วนใหญ่ ได้แก่
1. กระดาษอาร์ต
อย่างที่รู้ๆกันว่ากระดาษชนิดนี้จะมีเนื้อแน่น ผิวเรียบ เหมาะสำหรับงานพิมพ์สี่สี เช่น โปสเตอร์ โบรชัวร์ ปกวารสาร กล่องบรรจุภัณฑ์ ฯลฯ กระดาษชนิดนี้ราคาค่อนข้างสูง คุณภาพกระดาษก็แตกต่างกันไปแล้วแต่มาตรฐานของผู้ผลิตด้วย มีให้เลือกหลายแบบ ได้แก่
- กระดาษอาร์ตมัน – เนื้อกระดาษเรียบ เป็นมันเงา พิมพ์งานได้ใกล้เคียงกับสีจริง สามารถเคลือบเงาได้ดี ความหนาของกระดาษมีดังนี้ 85 แกรม, 90 แกรม, 100 แกรม, 105 แกรม, 120 แกรม , 130 แกรม, 140 แกรม, 160 แกรม จะนิยมพิมพ์งานประเภทแผ่นพับ,ใบปลิว
- กระดาษอาร์ตด้าน – เนื้อกระดาษเรียบ แต่เนื้อไม่มัน เมื่อพิมพ์งานสีจะซีดลงเล็กน้อย แต่ดูหรู ความหนาของกระดาษมีดังนี้ คือ 85 แกรม, 90 แกรม, 100 แกรม, 105 แกรม, 120 แกรม , 130 แกรม, 140 แกรม, 160 แกรม
- กระดาษอาร์ตการ์ด 2 หน้า – เป็นกระดาษอาร์ตที่หนาตั้งแต่ 190 แกรมขึ้นไป เหมาะสำหรับพิมพ์งานโปสเตอร์ โปสการ์ด ปกหนังสือ หรืองานต่างๆ ที่ต้องการความหนา
- กระดาษอาร์ตการ์ด 1 หน้า – เป็นกระดาษอาร์ตที่มีความแกร่งกว่ากระดาษอาร์ตการ์ด 2 หน้า หนาตั้งแต่ 190 แกรมขึ้นไป แต่ที่โรงพิมพ์ของเราจะใช้กระดาษอาร์ตการ์ด 350 แกรม นำเข้าอย่างดี เพื่องานกล่องบรรจุภัณฑ์ที่มีคุณภาพเหมาะสำหรับการพิมพ์กล่องสบู่,กล่องครีม,กล่องเครื่องสำอางที่ต้องการพิมพ์แค่หน้าเดียวและต้องการความสวยงาม เช่น กล่องบรรจุสินค้าต่างๆ โปสเตอร์ โปสการ์ด ปกหนังสือ เป็นต้น
2. กระดาษคราฟท์
จะเป็นกระดาษเนื้อสีน้ำตาล บางคนก็เรียกว่ากระดาษรีไซเคิล นิยมใช้พิมพ์งานสีเดียว หรือพิมพ์สี่สีก็ได้แต่ไม่สวยเท่ากระดาษอาร์ต
3. กระดาษปรู๊ฟ
กระดาษปรู๊ฟ มีเนื้อกระดาษหยาบ สีน้ำตาล หรือขาวหม่น ฉีกขาดง่าย ราคาถูกที่สุด เหมาะสำหรับพิมพ์งานจำนวนมากๆ เช่น หนังสือพิมพ์
ความหนาของกระดาษ
การวัดความหนาของกระดาษทำได้ยาก เพราะกระดาษแต่ละแผ่นบางมาก ดังนั้นแทนที่จะวัดจากความหนาโดยตรง ก็ใช้วิธีชั่งนํ้าหนักของกระดาษแทน โดยอาศัยข้อเท็จจริงที่ว่า กระดาษหนาย่อมมีนํ้าหนักมากกว่ากระดาษบาง โดยพิจารณาจากน้ำหนักของกระดาษขนาด 1 ตารางเมตร ในหน่วยวัดเป็น แกรม (gsm: gram per square-metre) กระดาษชนิดเดียวกัน 120 แกรมจึงหนากว่ากระดาษ 80 แกรม
ควรเลือกใช้กระดาษกี่แกรมจึงเหมาะสม
การเลือกความหนาของกระดาษต้องพิจารณาตามงานที่เอาไปใช้ เช่นถ้าใช้ทำปกก็ต้องใช้กระดาษหนา แต่ถ้าเป็นใบเสร็จมีหลายชั้นเมื่อเขียนแล้วต้องการให้ทะลุถึงชั้นล่าง อย่างนี้กระดาษก็ต้องบาง ตัวอย่างที่นิยมใช้ ได้แก่
- ใบเสร็จ และสิ่งพิมพ์ที่ต้องมีสำเนา นิยมใช้กระดาษประมาณ 40-50 แกรม
- กระดาษหัวจดหมาย หน้าเนื้อในของหนังสือ นิตยสาร เนื้อในของสมุด นิยมใช้กระดาษประมาณ 70-80 แกรม
- โบรชัวร์สี่สี หน้าสี่สีของนิตยสาร โปสเตอร์ นิยมใช้กระดาษประมาณ 120 – 160 แกรม
- ปกหนังสือ นิตยสาร สมุด แฟ้มนำเสนองาน กล่องสินค้า นิยมใช้กระดาษประมาณ 300 แกรมขึ้นไป
ขนาดของกระดาษ
การออกแบบงานโดยไม่ทราบขนาดกระดาษนั้น ทำให้ต้นทุนในการพิมพ์งานนั้นสูงขึ้น เพราะว่ากระดาษจะไม่สามารถตัดให้ลงตัวได้ และจะเป็นเศษทิ้งไปอย่างน่าเสียดาย ขนาดของกระดาษในที่นี้หมายถึง กระดาษแผ่นใหญ่ ที่ตัดมาจากม้วนแล้วซึ่งมีขนาดต่างๆ ดังนี้
กระดาษปอนด์, อาร์ตมัน, อาร์ตด้าน, ปรู๊ฟ โดยทั่วไปมีอยู่ 3 ขนาดคือ
- 24 นิ้ว x 35 นิ้ว
- 25 นิ้ว x 36 นิ้ว
- 31 นิ้ว x 43 นิ้ว
กระดาษอาร์ตการ์ด 2 หน้า, อาร์ตการ์ด 1 หน้า โดยทั่วไปมีอยู่ 2 ขนาดคือ
- 25 นิ้ว x 36 นิ้ว
- 31 นิ้ว x 43 นิ้ว
กระดาษกล่องแป้ง (หลังขาว, หลังเทา) โดยทั่วไปมีอยู่ 2 ขนาดคือ
- 31 นิ้ว x 43 นิ้ว
- 35 นิ้ว x 43 นิ้ว